ปรากฏการณ์เอลนีโญดันราคาโกโก้พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่ผ่านมาราคาโกโก้ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ในนครนิวยอร์กของสหรัฐฯพุ่งแตะระดับสูงสุดตลอดกาลอยู่ที่ 5,874 ดอลลาร์สหรัฐหรือกว่า 210,000 บาทต่อตัน
ขณะที่ต้นทุนของส่วนผสมหลักในการทำช็อกโกแลตตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นประมาณ 2 เท่าตั้งแต่ต้นปีที่แล้ว
ราคาโกโก้ที่พุ่งสูงขึ้น ได้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค และบีบบังคับให้ผู้ผลิตช็อกโกแลตรายใหญ่ต้องทบทวนการขึ้นราคาสินค้าแล้ว
“นาวาซ ชารีฟ” ประกาศคว้าชัยเลือกตั้งปากีสถาน
ผู้นำอิสราเอลสั่งกองทัพเตรียมแผนอพยพพลเรือนราฟาห์-ถล่มฮามาส คำพูดจาก เว็บสล็อตใหม่ล่าสุด
สหรัฐฯขู่เลิกสนับสนุนอิสราเอล หากถล่มราฟาห์
โดย Hershey ผู้ผลิตช็อกโกแลตรายใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเตือนว่า ราคาโกโก้ที่เพิ่มสูงขึ้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของรายได้ในปีนี้
ขณะที่ Michele Buck ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทยังไม่ได้ปฏิเสธเรื่องของการขึ้นราคาสินค้า และบอกเพียงแค่ว่า ยังไม่สามารถหารือเกี่ยวกับการกำหนดราคาจำหน่ายสินค้าในอนาคตได้
ทั้งนี้ความเห็นดังกล่าวมีขึ้น เมื่อ Hershey ประกาศผลประกอบการทางการเงินในช่วง 3 เดือน จนถึง 31 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ยอดขายช็อกโกแลตของบริษัทลดลง 6.6 % เนื่องจากผู้บริโภคได้รับผลกระทบจากภาวะเงินเฟ้อทำให้พวกเขาลดการใช้จ่ายในการซื้อขนมหวาน
ส่วนเมื่อเดือนที่แล้ว Mondelez ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายขนมและของว่างแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และผู้ผลิตแบรนด์ช็อกโกแลต Cadbury ระบุว่า ต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ถือเป็นหนึ่งในความท้าทายที่บริษัทต้องเผชิญในปีหน้า
Luca Zaramella ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินกล่าวว่า บริษัทได้เห็น ราคาทั้งโกโก้ และน้ำตาลดีดตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก
ทั้งนี้เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ผู้บริโภคในสหราชอาณาจักร ระบุว่า ราคาช็อกโกแลตเป็นกล่องในช่วงเทศกาลเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50 % ในช่วงเวลา 1 ปี แม้อัตราเงินเฟ้อโดยรวม ทั้งอาหาร และเครื่องดื่มในซูเปอร์มาเก็ตในสหราชอาณาจักรลดลงอยู่ที่ 8.3 % ในเดือนพฤศจิกายน แต่ราคาช็อกโกแลตกลับสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญอยู่ที่ 15.3%
ราคาโกโก้ที่เพิ่มสูงขึ้นมีปัจจัยมาจากการเก็บเกี่ยวที่ไม่ดีในแอฟริกาตะวันตก ซึ่งเป็นแหล่งผลิตอุปทานช็อกโกแลตจำนวนมากทั่วโลก
ปรากฏการณ์สภาพอากาศเอลนีโญทำให้สภาพอากาศในกานาและไอวอรีโคสต์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตเมล็ดโกโก้รายใหญ่อันดับสองของโลกแห้งมากยิ่งขึ้นไปอีก
นอกจากนี้อุณหภูมิที่ร้อนขึ้น และการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบปริมาณน้ำฝนที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศก็อาจส่งผลกระทบต่อการเก็บเกี่ยวได้เช่นกัน